Health-articles

แหล่งที่มาของสารพิษ: สารพิษสามารถมาจากแหล่งต่างๆ เช่น สารกันบูด ยาฆ่าแมลง หรือสารที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง ตับจะทำหน้าที่ในการขับสารพิษออก แต่ถ้ารับสารพิษมากเกินไป ตับจะทำงานไม่ทัน ผลกระทบต่อสุขภาพ: หากสารพิษสะสมในร่างกายนานๆ อาจทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน หรือโรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน ประโยชน์ของการดีท็อกซ์: การดีท็อกซ์ช่วยให้ตับฟื้นฟูและทำงานได้ดีขึ้น ลดการสะสมของสารพิษและไขมันในร่างกาย […]

ลักษณะของไมเกรน: ไมเกรนคืออาการปวดหัวเรื้อรังที่รบกวนชีวิตประจำวัน เช่น การทำงานและการเรียน อาการประกอบด้วยการปวดหัวตุ๊บๆ ปวดร้าวไปที่กระบอกตาหรือท้ายทอย พร้อมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน แพ้แสง และบางครั้งมองเห็นแสงไฟผิดปกติที่เรียกว่าไมเกรนออร่า สาเหตุและปัจจัยกระตุ้น: ไมเกรนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในสารเคมีในสมองและการกระตุ้นหลอดเลือดในสมอง ปัจจัยกระตุ้นได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิง เช่น ประจำเดือน, ความเครียด, อากาศร้อนหรือเย็น, การนอนหลับไม่เพียงพอ และแสงจ้า

ตับแข็ง เกิดจากการที่ตับได้รับความเสียหายจากการอักเสบเรื้อรังจนสร้างเนื้อเยื่อพังผืดสะสม ทำให้ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และอาจส่งผลให้เกิดโรคตับแข็งในระยะท้าย ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิตและเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ สาเหตุ ของตับแข็ง: การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ (เช่น ไวรัสตับอักเสบ B, C) การสะสมของไขมันที่ตับ การใช้ยานานๆ โดยไม่ได้รับการดูแล การดูแลตับ: หยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเน้นพืชผักและลดไขมัน รักษาดัชนีมวลกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ค่าน้ำตาลในเลือด และ ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) มีความแตกต่างกันดังนี้: ค่าน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar): วัดจากเลือดที่เจาะหลังจากอดอาหารมาแล้ว 8-12 ชั่วโมง ซึ่งแสดงค่าของน้ำตาลในเลือดในขณะนั้นเท่านั้น ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c): วัดการสะสมของน้ำตาลในเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีอายุประมาณ 120 วัน ดังนั้น

9 ข้อทำได้เพื่อหัวใจแข็งแรง ตามคำแนะนำจากสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา: ควบคุมน้ำหนักตัว ให้เหมาะสมกับความต้องการพลังงานของร่างกาย พร้อมออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานผักและผลไม้ครบ 5 สี โดยเน้นผักใบเขียว 1 ทัพพี และผลไม้ขนาด 1 กำปั้นหรือ 1 จานเล็ก ทานธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง,

โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน, ความดันสูง, ไขมันในเลือดสูง, โรคอ้วน อาการแน่นหน้าอก รู้สึกเหมือนมีอะไรทับหน้าอก, อาการร้าวไปที่กราม, แขนซ้าย, หรือท้อง พร้อมอาการเหนื่อยและเหงื่อแตก ใจสั่นหรือเต้นเร็ว โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นกะทันหัน อาการเหนื่อย ไม่สามารถนอนราบได้ หรือเหนื่อยหอบเวลาเดินไกล ขาบวม โดยเฉพาะที่หน้าแข้งหรือเท้า หากกดลงไปแล้วเนื้อไม่คืนตัว

มะเขือเทศ: มีไลโคปีนและวิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของหลอดเลือด ผักบุ้ง: อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ช่วยลดความดันโลหิต และดีสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง กระเทียม: มีสารอัลลิซินที่ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลและต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด ฝรั่ง: มีวิตามินซีและกากใยสูง ช่วยยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลและขับออกทางอุจจาระ แอปเปิ้ล: มีใยอาหารและสารฟลาโวนอยด์สูง ช่วยป้องกันโรคที่เกี่ยวกับคอเลสเตอรอลและหลอดเลือดอุดตัน นอกจากนี้ยังแนะนำให้มีการพักผ่อนเพียงพอ, ออกกำลังกาย, และตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อการป้องกันโรคหัวใจที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น. https://youtu.be/NJcFtNyPtCY อยากดูแลความดันในเลือด

ตำลึง: ผักริมรั้วที่มีคุณสมบัติช่วยลดน้ำตาลในเลือด และเพิ่มระดับอินซูลินให้สูงขึ้น ทำให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเบาหวาน ฟักทอง: ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ รวมทั้งช่วยเรื่องระบบขับถ่ายด้วย มะระ: มีสารซาแรนติน (Charantin) ที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือด และลดโอกาสเสื่อมต้อกระจก ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ผักบุ้ง: มีสารที่มีโครงสร้างคล้ายกับอินซูลิน ซึ่งช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ คำแนะนำในการทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานคือควรกินอาหารให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพื่อสามารถมีชีวิตที่มีความสุขได้ https://youtu.be/CO5CHB3uxC0

เนื้อหาจากวิดีโอนี้พูดถึงคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกทานเนื้อสัตว์สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตระยะ 3B, 4, และ 5 เพื่อช่วยดูแลสุขภาพไตและหลีกเลี่ยงผลเสียจากการทานโปรตีนมากเกินไป: โปรตีน เป็นสารอาหารที่สำคัญในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ, ภูมิคุ้มกัน, และการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย แต่ผู้ป่วยที่มีโรคไตในระยะก่อนฟอกไตไม่ควรทานโปรตีนมากเกินไป เพราะโปรตีนจะถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน ซึ่งร่างกายจะขับออกในรูปสารยูเรียผ่านทางไต หากไตไม่สามารถขับสารนี้ออกได้จะทำให้เกิดการสะสมของยูเรียในร่างกาย และทำให้เกิดอาการซึม, อ่อนเพลีย, และเบื่ออาหารได้ เนื้อสัตว์ที่เหมาะสม: ไข่ขาว –

ความสำคัญของวิตามินและแร่ธาตุ: เนื้อหากล่าวถึงความจำเป็นของวิตามินและแร่ธาตุในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย เช่น การเล่นกีฬา หรือการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ผลกระทบจากการออกกำลังกาย: การออกกำลังกายทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยและอ่อนเพลีย ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน การรับประทานวิตามินช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อและลดความอ่อนเพลีย วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น: วิตามินดี: ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและเสริมสร้างกระดูก วิตามินซี: ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและลดอาการปวดกล้ามเนื้อ วิตามินอี: ช่วยจัดการอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกาย แคลเซียม: ช่วยในการหดตัวของกล้ามเนื้อและเปลี่ยน ATP